บุคคลสำคัญที่มีชื่อปรากฏทุกคาบคือ クラッシェン (Stephen Krashen) ค่ะ เป็นนักภาษาสาสตร์ที่กล่าวเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาที่สอง (第二言語習得 Second Language Acquisition หรือ SLA) โดยได้กล่าวถึงทฤษฎีสำคัญไว้ 5 ประการ ตามนี้
① 習得学習仮説 (Acquisition-learning Hypothesis) 習得 (Acquisition) คือการเรียนโดยธรรมชาติ เช่นจากการรับรู้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ส่วน 学習 (Learning) นั้นคือการเรียนรู้ผ่านการเรียนการสอน ต้องมีผู้สอนคอยชี้แนะ เหมือนที่เราเรียนกับครูในโรงเรียน ② モニター仮説 (Monitor Hypothesis) ก็คือการมอนิเตอร์หรือ "สำรวจ" ตัวเอง (自己モニター) ว่าสิ่งที่พูดหรือเขียนออกไปมันถูกต้องไหม เหมาะสมหรือเปล่า มีอยู่ 3 ลักษณะคือ 1) Over users หรือพวกที่ใช้มอนิเตอร์มากเกินไป จะพะวงความถูกต้องตลอดจนไม่ค่อย アウトプット และทำให้ขาดความคล่องในการใช้ (เราอาจจะเป็นประเภทนี้ กลัวผิดไปหมด...) 2) Under users ตรงข้ามกับพวกแรกคือไม่คิดเลย ไม่สำรวจตัวเองเลย ใช้มั่วๆ ไปก็ไม่รู้ตัว ทำให้ขาดความถูกต้องและเหมาะสม 3) Optimal users พวกสายกลาง คอยสำรวจและแก้ไข แต่ก็ไม่กังวลเกินไปจนไม่กล้าใช้ แน่นอนว่าประเภทนี้ดีที่สุด ③ 自然習得仮説 (Natural order acquisition) คือทฤษฎีที่ว่าด้วย "ลำดับ" ของการเรียนรู้ คือในการเรียนไวยากรณ์ภาษาใดภาษาหนึ่งจะมีหลักที่ fixed เอาไว้ว่าจะต้องเริ่มเรียนจากอะไรก่อน เช่นถ้าเป็นภาษาอังกฤษ เราจะเรียนเป็นลำดับดังนี้ 1) He is walking. He has a lot of books. He is a doctor. 2) He is walking. He likes the book. 3) He came to my house. 4) He visited my house. He walks to school every day. He is driving his brother‘s car ตรงนี้จำไม่ได้ว่าเรียนภาษาอังกฤษมาตามนี้หรือเปล่า จำได้แค่ present → past → future → present continuous...ฯลฯ แต่สรุปก็คือเป็นโครงสร้างลำดับการเรียนตามอัตโนมัติ เข้าใจเรื่องนี้เพื่อเข้าใจเรื่องนี้ต่อเป็นลำดับๆ ไป ซึ่งสามารถลำดับคาดเดาได้เพราะถูก fixed ไว้แล้ว ④ インプット仮説 -大量のインプット (Lots of input) ต้องมีข้อมูลมาก -理解可能なインプット (Comprehensible input) ข้อมูลนั้นต้องสามารถทำความเข้าใจได้ -i+1 คือการเรียนแบบต่อยอด คือสมมติว่าเรามีสิ่งที่เป็นพื้นอยู่แล้วคือ i ก็ค่อยๆ เพิ่มจากตรงนั้นแค่ 1 ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มี i แล้วเพิ่มรวดเดียว 10 แบบนี้
นอกจากนี้ก็มีเรื่องของลักษณะการให้ インプット นั้นกับผู้เรียน ได้แก่ Natural Approach ที่ว่าด้วยการสอนภาษาที่สองโดยไม่ใช้ภาษาแม่ (สอนญี่ปุ่นด้วยภาษาญี่ปุ่น) based on การทำกิจกรรมและพูดคุยมากกว่าการเรียนรู้ไวยากรณ์